บริษัท รุ่งเรืองเคมีแอนด์ออยล์ จำกัด

งานพิมพ์พลาสติก และงานพิมพ์กระดาษ

เป็นผลิตภัณฑ์ตัวทําละลายสารแชล็ค, ใช้ในแลกเกอร์ ทินเนอร์ สี หมึกพิมพ์ Coating โลหะ พิมพ์ผ้า น้ำยาลอกสี แลกเกอร์สเปรย์ อุตสาหกรรมสีหมึกพิมพ์ และอุตสาหกรรมเครื่องสำอางต่างๆ

เคมีอุตสาหกรรม
เคมีอุตสาหกรรม

ผลิตภัณฑ์สำหรับงานพิมพ์พลาสติก และกระดาษ

โซเวนท์ 3040 ถัง 200 ลิตร

ประโยชน์ของงานพิมพ์พลาสติก และงานพิมพ์กระดาษ

ประโยชน์ของงานพิมพ์พลาสติกและงานพิมพ์กระดาษมีหลายด้านที่สำคัญและมีความสำคัญในชีวิตประจำวันและอุตสาหกรรมต่าง ๆ

ประโยชน์ของงานพิมพ์พลาสติก

ประโยชน์ของงานพิมพ์กระดาษ

เกี่ยวกับ งานพิมพ์พลาสติก และงานพิมพ์กระดาษ

กระบวนการในงานพิมพ์พลาสติกคือการนำพลาสติกมาขึ้นรูปเป็นชิ้นงานต่างๆ โดยใช้แม่พิมพ์ กระบวนการพิมพ์พลาสติกมีหลากหลายวิธี แต่ที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือ

  • การพิมพ์แบบอัดขึ้นรูป (Injection molding) : เป็นกระบวนการที่ความร้อนและความกดดันถูกใช้เพื่อทำให้พลาสติกหลอมละลายและอัดขึ้นรูปในแม่พิมพ์ กระบวนการนี้เหมาะสำหรับการผลิตชิ้นงานที่มีรูปร่างซับซ้อนและขนาดกะทัดรัด
  • การพิมพ์แบบฉีดขึ้นรูป (Extrusion) : เป็นกระบวนการที่พลาสติกถูกหลอมละลายแล้วฉีดผ่านหัวฉีดเข้าไปในแม่พิมพ์ กระบวนการนี้เหมาะสำหรับการผลิตชิ้นงานที่มีรูปร่างยาวและเรียว
  • การพิมพ์แบบเรซิน (Resin printing) : เป็นกระบวนการที่เรซินถูกฉายลงบนชั้นบางๆ ของวัสดุรองรับ เรซินแต่ละชั้นจะแข็งตัวเมื่อถูกฉายแสง UV กระบวนการนี้เหมาะสำหรับการผลิตชิ้นงานที่มีความแม่นยำสูง

กระบวนการในงานพิมพ์พลาสติกมีขั้นตอนดังนี้

  1. ออกแบบชิ้นงาน : ชิ้นงานจะถูกออกแบบโดยใช้ซอฟต์แวร์ CAD
  2. สร้างแม่พิมพ์ : แม่พิมพ์จะถูกสร้างโดยใช้วัสดุต่างๆ เช่น โลหะ พลาสติก หรือซิลิโคน
  3. เตรียมพลาสติก : พลาสติกจะถูกหลอมละลายและทำให้ร้อนจนพร้อมที่จะขึ้นรูป
  4. ขึ้นรูปชิ้นงาน : พลาสติกจะถูกขึ้นรูปในแม่พิมพ์โดยการใช้ความร้อนและความกดดัน
  5. ระบายความร้อน : ชิ้นงานจะถูกระบายความร้อนจนเย็นตัวลงและแข็งตัว
  6. เสร็จสิ้นชิ้นงาน : ชิ้นงานจะถูกตัดแต่ง ขัดเงา และประกอบให้เสร็จสมบูรณ์

กระบวนการในงานพิมพ์พลาสติกเป็นกระบวนการที่มีประสิทธิภาพและรวดเร็ว ช่วยให้สามารถผลิตชิ้นงานพลาสติกได้จำนวนมากในระยะเวลาอันสั้น

เราสามารถพิมพ์พลาสติกได้หลายวิธี แต่วิธีที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือ

  • การพิมพ์แบบ FDM (Fused Deposition Modeling) : เป็นวิธีพิมพ์ที่พลาสติกจะถูกหลอมละลายและบีบอัดผ่านหัวฉีดไปยังแผ่นพิมพ์ฐาน พลาสติกแต่ละชั้นจะติดกันด้วยความร้อนและแรงกดดัน
  • การพิมพ์แบบ SLA (Stereolithography) : เป็นวิธีพิมพ์ที่เรซินจะถูกฉายลงบนชั้นบางๆ ของวัสดุรองรับ เรซินแต่ละชั้นจะแข็งตัวเมื่อถูกฉายแสง UV
  • การพิมพ์แบบ SLS (Selective Laser Sintering) : เป็นวิธีพิมพ์ที่ผงพลาสติกจะถูกหลอมละลายโดยเลเซอร์ เลเซอร์จะหลอมละลายผงพลาสติกเฉพาะจุดที่ที่ต้องการเท่านั้น
  • การพิมพ์แบบ MJF (Multi Jet Fusion) : เป็นวิธีพิมพ์ที่ผงพลาสติกจะถูกหลอมละลายโดยหัวฉีด หัวฉีดจะหลอมละลายผงพลาสติกเฉพาะจุดที่ที่ต้องการเท่านั้น

ความแตกต่างระหว่างเทคนิคการพิมพ์แต่ละวิธีคือ

  • การพิมพ์แบบ FDM : เป็นวิธีพิมพ์ที่ราคาไม่แพงและใช้งานง่าย แต่ชิ้นงานที่ได้จะมีความละเอียดต่ำ
  • การพิมพ์แบบ SLA : เป็นวิธีพิมพ์ที่ชิ้นงานที่ได้จะมีความละเอียดสูง แต่ราคาแพงและใช้เวลาพิมพ์นาน
  • การพิมพ์แบบ SLS : เป็นวิธีพิมพ์ที่ชิ้นงานที่ได้จะมีน้ำหนักเบาและแข็งแรง แต่ราคาแพงและใช้เวลาพิมพ์นาน
  • การพิมพ์แบบ MJF : เป็นวิธีพิมพ์ที่ราคาไม่แพงและใช้เวลาพิมพ์เร็ว แต่ชิ้นงานที่ได้จะมีความละเอียดปานกลาง

วัสดุที่ใช้ในงานพิมพ์พลาสติกมีหลากหลายประเภท แต่ที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือ

  • ABS (Acrylonitrile Butadiene Styrene) : เป็นวัสดุที่ทนทาน แข็งแรง ทนความร้อน และทนต่อสารเคมีได้ดี เหมาะสำหรับงานพิมพ์ชิ้นงานที่ต้องใช้ความแข็งแรงและทนทาน
  • PLA (Polylactic Acid) : เป็นวัสดุที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม เหมาะสำหรับงานพิมพ์ชิ้นงานที่สัมผัสกับอาหารและผิวสัมผัส
  • PETG (Polyethylene Terephthalate Glycol) : เป็นวัสดุที่ใส โปร่งแสง ทนทาน และแข็งแรง เหมาะสำหรับงานพิมพ์ชิ้นงานที่ต้องใช้ความใสและโปร่งแสง
  • TPU (Thermoplastic Polyurethane) : เป็นวัสดุที่ยืดหยุ่น ทนทาน และทนต่อการสึกหรอได้ดี เหมาะสำหรับงานพิมพ์ชิ้นงานที่ต้องใช้ความยืดหยุ่น
  • PA (Polyamide) : เป็นวัสดุที่แข็งแรง ทนทาน และทนต่อแรงดึงได้ดี เหมาะสำหรับงานพิมพ์ชิ้นงานที่ต้องใช้ความแข็งแรงและทนต่อแรงดึง

คุณสมบัติของวัสดุเหล่านี้ทำให้เหมาะสมในการพิมพ์พลาสติกได้ดังนี้

  • ทนทาน : วัสดุเหล่านี้มีความทนทานต่อแรงกระแทก รอยขีดข่วน และความร้อนได้ดี ทำให้ชิ้นงานพิมพ์มีความแข็งแรงและทนทาน
  • ปลอดภัย : วัสดุบางชนิด เช่น PLA และ PETG ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมและต่อสุขภาพ
  • ยืดหยุ่น : วัสดุบางชนิด เช่น TPU มีความยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับงานพิมพ์ชิ้นงานที่ต้องใช้ความยืดหยุ่น เช่น รองเท้า กระเป๋า และสายรัด
  • แข็งแรง : วัสดุบางชนิด เช่น PA มีความแข็งแรงสูง เหมาะสำหรับงานพิมพ์ชิ้นงานที่ต้องใช้ความแข็งแรง เช่น ชิ้นส่วนเครื่องจักรและเครื่องมือ

การเลือกวัสดุที่เหมาะสมสำหรับงานพิมพ์พลาสติกขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น คุณสมบัติที่ต้องการของชิ้นงาน การใช้งานของชิ้นงาน และงบประมาณ

สีที่ใช้ในงานพิมพ์พลาสติกมีความสำคัญมากต่อกระบวนการและผลลัพธ์ของงานพิมพ์ การเลือกสีที่เหมาะสมจะช่วยให้งานพิมพ์ออกมาสวยงามและมีคุณภาพ

สีที่ใช้ในงานพิมพ์พลาสติกมีหลากหลายประเภท แต่ที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือ

  • สีอะคริลิก : เป็นสีที่ทนทาน แห้งเร็ว และใช้งานง่าย เหมาะสำหรับงานพิมพ์ชิ้นงานที่ต้องใช้ความทนทานและรวดเร็ว
  • สีน้ำมัน : เป็นสีที่ให้ความเงางามสูง เหมาะสำหรับงานพิมพ์ชิ้นงานที่ต้องใช้ความเงางาม
  • สีฝุ่น : เป็นสีที่สามารถใช้กับเครื่องพิมพ์ 3D หลายประเภท เหมาะสำหรับงานพิมพ์ชิ้นงานที่มีรายละเอียดสูง
  • สีเหลว : เป็นสีที่สามารถใช้กับเครื่องพิมพ์ 3D หลายประเภท เหมาะสำหรับงานพิมพ์ชิ้นงานที่มีขนาดใหญ่

การเลือกสีที่เหมาะสมสำหรับงานพิมพ์พลาสติกขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น คุณสมบัติที่ต้องการของชิ้นงาน การใช้งานของชิ้นงาน และงบประมาณ

ต่อไปนี้คือเคล็ดลับในการเลือกสีสำหรับงานพิมพ์พลาสติก:

  • เลือกสีที่ทนทานต่อสภาพการใช้งานของชิ้นงาน เช่น ชิ้นงานที่ต้องสัมผัสกับแสงแดด ความชื้น หรือสารเคมี
  • เลือกสีที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ เช่น ชิ้นงานที่จะสัมผัสกับอาหารหรือผิวสัมผัส
  • เลือกสีที่เข้ากับสไตล์ของชิ้นงาน เช่น ชิ้นงานที่จะตกแต่งบ้านหรือสำนักงาน
  • เลือกสีที่เหมาะกับงบประมาณของคุณ

การเลือกสีที่เหมาะสมสำหรับงานพิมพ์พลาสติกจะช่วยให้งานพิมพ์ออกมาสวยงามและมีคุณภาพ

กระบวนการในงานพิมพ์กระดาษคือการนำเยื่อไม้มาผ่านกระบวนการต่างๆ จนกลายเป็นกระดาษ กระบวนการพิมพ์กระดาษมีดังนี้

  1. เตรียมเยื่อไม้ : เยื่อไม้จะถูกนำออกจากต้นไม้แล้วนำมาบดให้ละเอียด จากนั้นจะถูกแช่ในน้ำและสารเคมี เพื่อแยกเยื่อไม้ออกจากลิกนิน ลิกนินคือสารที่ทำหน้าที่ยึดเยื่อไม้ให้ติดกัน
  2. กรองเยื่อไม้ : เยื่อไม้จะถูกกรองด้วยตะแกรงเพื่อแยกเศษไม้และเศษวัสดุอื่นๆ ออก
  3. ล้างเยื่อไม้ : เยื่อไม้จะถูกล้างด้วยน้ำสะอาดเพื่อขจัดสารเคมีที่เหลืออยู่
  4. ตกตะกอนเยื่อไม้ : เยื่อไม้จะถูกตกตะกอนบนผ้ากรอง ผ้ากรองจะดูดซับน้ำส่วนเกินออกจากเยื่อไม้ ทำให้เยื่อไม้เกาะตัวกันเป็นแผ่น
  5. กดกระดาษ : แผ่นกระดาษจะถูกกดด้วยแรงดันสูงเพื่อไล่ความชื้นออกจากกระดาษ กระดาษจะถูกรีดด้วยความร้อนเพื่อทำให้กระดาษแห้งและเรียบ
  6. ตัดกระดาษ : กระดาษจะถูกตัดเป็นแผ่นตามขนาดที่ต้องการ
  7. เคลือบกระดาษ : กระดาษบางชนิดอาจถูกเคลือบด้วยสารเคมี เช่น สารกันน้ำ สารกันรอยเปื้อน หรือสารกันเชื้อรา สารเคลือบจะทำให้กระดาษมีความทนทานมากขึ้น

กระบวนการพิมพ์กระดาษเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องใช้ความชำนาญมาก กระดาษที่ผลิตได้มีคุณภาพสูงจะมีความทนทาน เรียบเนียน และมีคุณสมบัติต่างๆ ที่เหมาะสมกับการใช้งาน

วิธีการพิมพ์กระดาษแตกต่างกันไปตามลักษณะของงานและวัตถุประสงค์ในการใช้งาน วิธีการพิมพ์กระดาษที่พบบ่อย ได้แก่

  • การพิมพ์ออฟเซต : เป็นวิธีการพิมพ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เหมาะสำหรับงานพิมพ์จำนวนมาก เช่น หนังสือ นิตยสาร หนังสือพิมพ์ ฯลฯ
  • การพิมพ์ดิจิตอล : เป็นวิธีการพิมพ์ที่รวดเร็วและสะดวก เหมาะสำหรับงานพิมพ์จำนวนน้อย เช่น นามบัตร โบรชัวร์ โปสเตอร์ ฯลฯ
  • การพิมพ์ซิลค์สกรีน : เป็นวิธีการพิมพ์ที่เหมาะสำหรับงานพิมพ์ที่มีสีสันสดใส เช่น เสื้อยืด หมวก กระเป๋า ฯลฯ
  • การพิมพ์อิ้งเจ็ต : เป็นวิธีการพิมพ์ที่เหมาะสำหรับงานพิมพ์ภาพถ่าย เหมาะสำหรับงานพิมพ์จำนวนน้อย เช่น ภาพถ่าย โปสเตอร์ ฯลฯ

การเลือกวิธีการพิมพ์กระดาษที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ลักษณะของงาน วัตถุประสงค์ในการใช้งาน และงบประมาณ

ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับในการเลือกวิธีการพิมพ์กระดาษ:

  • หากต้องการพิมพ์งานจำนวนมาก ให้เลือกการพิมพ์ออฟเซต
  • หากต้องการพิมพ์งานจำนวนน้อย ให้เลือกการพิมพ์ดิจิตอล
  • หากต้องการพิมพ์งานที่มีสีสันสดใส ให้เลือกการพิมพ์ซิลค์สกรีน
  • หากต้องการพิมพ์ภาพถ่าย ให้เลือกการพิมพ์อิ้งเจ็ต

การเลือกวิธีการพิมพ์กระดาษที่เหมาะสมจะช่วยให้งานพิมพ์ออกมาสวยงามและมีคุณภาพ

ช่องทางสำหรับสั่งซื้อสินค้าปลีก

เคมีอุตสาหกรรม